ตังกุย สมุนไพรมหัศจรรย์
สมุนไพรขึ้นชื่อว่ามีประโยชน์ในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ มากมาย แต่ในทางตรงกันข้าม สมุนไพรก็สามารถให้โทษ และอันตรายแก่ผู้ใช้ได้ หากไม่รู้จักใช้ หรือใช้ไม่ถูกต้อง โทษและอันตรายจากการใช้สมุนไพร ซึ่งสามารถแยกออกเป็น 3 ประการ ดังนี้ 1. อันตรายที่เกิดจากโรคที่ขาดการรักษา โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน หรือโรคหืด ซึ่งแพทย์ปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ช่วยได้เพียงการให้ยาเพื่อบรรเทาอาการ และป้องกันโรคแทรกซ้อน บางคนอาจทานยาจนเบื่อ เลยหยุดทานยา และหันมารักษาด้วยสมุนไพรแทน แต่สมุนไพรหลายชนิดอาจไม่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรค นอกจากนี้โรคที่เป็นอาจไม่แสดงอาการชัดทำให้เข้าใจว่า โรคหายแล้ว จึงหยุดการรักษาที่ถูกวิธีไป ซึ่งนานไปโรคเดิมอาจกลับมากำเริบ และส่งผลอันตรายต่อร่างกายได้ 2. อันตรายที่เกิดจากฤทธิ์ของสมุนไพรโดยตรง สมุนไพรหลายชนิดจะมีสารเคมีที่เป็นพิษร้ายแรงปะปนอยู่ ถ้าได้รับเข้าไปจะทำให้เกิดอาการจากพิษนั้น ๆ เช่น มะเกลือ ผลของมันเมื่อแก่เต็มที่จนมีสีดำ อาจจะมีสาร naphthalene ซึ่งเป็นพิษต่อประสาทตาโดยตรง หรือ ยี่โถ เราพบว่า มีพิษอยู่ในใบของมัน หากได้รับสารนี้จะทำให้หัวใจเต้นช้าลง 3. อันตรายจากสารเจือปนในสมุนไพร ซึ่งทางคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ทำการตรวจวิเคราะห์ยาสมุนไพร เพื่อหาสารเจือปนที่จะเป็นอันตรายพบว่า ส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของ arsenic 60% และสาร steroids กว่า 30% นอกจากนั้นยังมีสารอันตรายอื่นๆ อีกมากมาย arsenic ถือว่าเป็นยาอันตราย ในตำราแพทย์โบราณเชื่อว่าสารนี้มีคุณสมบัติกระตุ้นให้กระชุ่มกระชวย แต่ถ้ารับมากไปอาจจะเกิดพิษได้ ซึ่งผู้ป่วยที่ได้รับสารพิษนี้อาจมีโอกาสเป็นมะเร็งได้มากขึ้นด้วย steroids มีคุณสมบัติบรรเทาอาการของโรคหลายชนิด หากใช้นาน ๆ จะมีอาการข้างเคียง และอันตรายมาก หากใช้ติดต่อกันนานจะทำให้ติดยา สารปรอท หากมีผสมในสมุนไพร จะทำให้เกิดพิษ มีอาการปากเปื่อย เหงือกอักเสบ ไตวาย เป็นต้น สารตะกั่ว เป็นที่รู้จักกันดี ตะกั่วเป็นพิษทำให้มีอาการปวดท้อง โลหิตจาง กล้ามเนื้ออ่อนแรงจากปลายประสาทผิดปกติ เป็นต้น การใช้สมุนไพรเปรียบเสมือนดาบสองคม สิ่งใดก็ตามที่มีประโยชน์มาก สิ่งนั้นก็อาจมีโทษได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นการใช้สมุนไพรก็ควรจะใช้อย่างระมัดระวัง ศึกษาสรรพคุณให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ หรือปรึกษาผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้ตังกุย เป็นพืชที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในหลายๆประเทศ
มีถิ่นกำเนิดจากประเทศจีน โดยเฉพาะมณฑลส่านซี มณฑลยูนาน และใต้หวัน โสม โตได้ดีในสภาพอากาศชื้น เป็นไม้ล้มลุกที่มีอายุยืนยาว รากของโสมคือส่วนที่จะนำเอาไปใช้เป็นยา ดังนั้นหากจะได้รากที่ดี ก็จำเป็นต้องปลูกในสภาพอากาศที่มีความชื้นเหมาะสม มีดินที่อุ้มน้ำ และได้รับแสงรำไร มักจะพบตังกุยได้จากป่าดิบเขา และแหล่งเพาะปลูกตามภูเขาสูง ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะใช้ในการรักษาอาการปวดท้องประจำเดือน,ประจำเดือนมาไม่ปกติ,อาการวัยทอง เพราะมีสารสำคัญอาทิเช่น ฮอร์โมนอิสโทรเจน สารแอลคาลอยด์ น้ำมันหอมระเหย วิตามินเอ (Vitamin A) วิตามินบี และเกลือแร่หลายชนิดตังกุย ช่วยเรื่องอะไรบ้าง
มีงานวิจัยบางส่วนพบว่าจะช่วยคลายกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกายรวมถึงกล้ามเนื้อมดลูกจึงช่วยบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือน และมีสรรพคุณอื่นๆ อาทิเช่น 1.ช่วยปรับระบบไหลเวียนเลือดให้ทำงานได้ดีขึ้น และ เพิ่มปริมาณเม็ดเลือด จึงช่วยรักษาภาวะเลือดพร่อง สีหน้าซีดขาวหรือซีดเหลือง ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลมากขึ้น 2.บรรเทาปัญหาผมร่วง ผื่นคัน 3.ลดอาการปวดประจำเดือนในผู้หญิง 4.อาการท้องผูก 5.โรคโลหิตจางทาน ตังกุย อย่างไรให้ปลอดภัย
ส่วนใหญ่มักจะพบในอาหารเสริม หากผู้อ่านไม่มีโรคประจำตัวหรือไม่ต้องทานยาตัวไหนเป็นประจำก็สามารถทานได้อย่างปลอดภัย แต่หากมีอาการดังต่อไปนี้แนะนำให้หยุดทานตังกุยแล้วรีบไปพบแพทย์ - วิงเวียนศรีษะ หน้ามืด - ปวดท้อง - หายใจติดขัด - ภาวะความดันต่ำ - ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ หากพบอาการเหล่านี้ควรหยุดทานอาหารเสริมที่กำลังทานอยู่ และ รีบไปพบแพทย์ เพราะฉะนั้นเพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่จะตามมาควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพื่อให้แพทย์วินิฉัยถึงความจำเป็นในการใช้ ความเสี่ยง วิธีการใช้ที่ถูกต้องข้อควรระวัง คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมลูกควรหลีกเลี่ยงการใช้ตังกุย เพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อเด็กได้
สมุนไพรปราชญา ตำรับสมุนไพรจีนที่ใช้นวัตกรรมสมัยใหม่สกัดยาต้มแบบจีนโบราณมาให้ออกมาในรูปแบบแคปซูลทานง่ายได้ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตำรับสมุนไพรจีน ซาริน่า แหล่งที่มา : www.facebook.com/Prachyaonline