หยุดเข้าใจ สมุนไพร กันแบบผิดๆ

สมุนไพร


            ชีวิตยุคใหม่ทำให้ผู้คนห่างไกลจาก สมุนไพร และทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า มีเพียง สารเคมีสกัด เท่านั้นที่จะประคับประคองชีวิตให้หายจากอาการป่วยได้ เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย อาจจะมีเพียงยาแผนปัจจุบันเท่านั้นที่จะช่วยเยียวยาชีวิต หรือหากจะหันหน้าไปหายาแผนโยราณจำพวก สมุนไพร ก็อาจจะต้องวัดดวงกันสักหน่อย ว่ามันจะได้ผลหรือไม่ ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย และถือเป็นเรื่องเข้าใจผิดครั้งใหญ่! เรามาเคลียร์ความเข้าใจผิดทีละข้อกันเถอะ


          ความเข้าใจผิดแรก สมุนไพร คือ รากไม้ ขมปี๋ แถมต้องกินเป็นหม้อๆ เท่านั้น 

          เพื่อให้เกิดความกระจ่างมากขึ้น ขอทำความเข้าใจเกี่ยวกับ
สมุนไพร เสียใหม่
          ยาสมุนไพร มีความหมายตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 ว่า
          ยาที่ได้จากพืช สัตว์ หรือ แร่ธาตุ ซึ่งมิได้ผสม ปรุง หรือ แปรสภาพ ในยุคสมัยที่ยังไม่มีแพทย์ปัจจุบัน ยาสมุนไพร คือ ยารักษาโรคที่คนโบราณคุ้นเคยเป็นอย่างดี ในฐานะของ ยาหม้อ

          ภาพของยาสมุนไพรในความทรงจำของไครหลายๆ คน มักจะมีลักษณะเป็นยาที่อยู่ในรูปแบบของรากไม้หรือใบไม้แห้งๆ สีเขียวบ้างน้ำาลบ้าง ถูกเก็บไว้อย่างมิดชิดอยู่ในห่อกระดาษ ก่อนที่จะถูกกวาดรวมกันลงไปในหม้อต้ม ผ่านการต้มเป็นเวลานานกว่าจะได้กิน แถมเวลาที่ป่วยครั้งหนึ่ง ก็ต้องกินยาต้มหลายหม้อ หลายวัน กว่าจะรักษาจนหาย
          ส่วนเรื่องรสชาตินั้น รับรองว่าต้องติดตรึงอยู่ในความทรงจำของใครหลายคนอย่างแน่นอน เพราะรับประกันความขม รสขมสุดจิต สุดใจ ติดลิ้นติดปากไปอีกแสนนาน แค่นึกถึงก็แทบจะเบือนหน้าหนีแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็จำเป็นต้องทนกินไปให้หมด หรือไม่ก็มักจะถูกผู้ใหญ่มในบ้านบังคับให้กินอย่างสม่ำเสมอเพื่อที่จะได้หายป่วยเสียที จึงเป็นที่จดจำได้ตั้งแต่สมัยเด็กว่ายาสมุนไพรนี้ดีจริง มีสรรพคุณทางยาอันทรงคุณค่า มั่นใจได้ในผลของการรักษาที่สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ชะงัดนัก
     
         แม้กระทั่งในปัจจุบันนี้ที่วิทยาการทางการแพทย์ก้าวรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว จนเกิดเป็นนวัตกรรมยาสมุนไพรสกัดเข้มข้นแบบแคปซูลที่สามารถพกพาไปกินได้ทุกที่ ทุกเวลา สะดวก รวดเร็ว ให้คุณค่าทางยาที่เข้มข้นยิ่งขึ้น ไม่จำเป็นต้องพกพายาเม็ดจำนวนมากเป็นกำๆ ไม่จำเป็นต้องพกหม้อใบใหญ่พร้อมอุปกรณ์มากมายเพื่อใช้ต้มยาไม่จำเป็นต้องฝืนดื่มยาต้มรสข้มจำนวนมาก แบะไม่จำเป็นต้องกินยาเม็ดจำนวนมากในแต่ละมื้อเช่นในอดีต นวัตกรรมของยาสมุนไพรชิ้นนี้จึงเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่รู้สึกสนุกกับการใช้ยาสมุนไพรมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

        หรือถ้าใครที่ยังคงคุ้นเคยและไว้วางใจในการใช้บริการยาสมุนไพรในรูปแบบเดิม หรือต้องกินยาในรูปแบบดั้งเดิมที่ตนเองคุ้นเคย หรือต้องการตัวยาพิเศษที่เฉพาะเจาะจงกับอาการของตนเองโดยตรง ก็สามารถเดินทางเข้ามาพูดคุยขอคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญผู้ให้บริการตรวจรักษาตามฉบับแพทย์แผนจีน พร้อมรับยาสมุนไพรคุณภาพดีที่ผ่านกระบวนการสกัดตัวยาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้

          
ความเข้าใจผิดที่สอง รอให้ป่วยก่อนค่อยกินยาสมุนไพร

          สำหรับสมุนไพรจีนบ้างท่านอาจเข้าใจว่าสมุนไพรต้องใช้เพื่อการรักษาโรคเท่านั้น เราจะกินสมุนไพรก็ต่อเมื่อมีอาการเจ็บป่วย คนธรรมดาทั่วไปที่มีสุขภาพแข็งแรงไม่จำเป็นต้องกินสมุนไพร แต่ที่จริงแล้วสมุนไพรนั้นมีคุณสมบัติทั้ง ยารักษาโรค และ อาหารเสริมบำรุงร่างกาย เนื่องจากสมุนไพรแต่ละชนิดนั้นมีสรรพคุณที่แตกต่างกันสมุนไพรบางชนิดมีฤทธิ์ในการรักษา ในขณะที่สมุนไพรบางชนิดสามารถบำรุงและเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับอวัยวะ และระบบการทำงานต่างๆ ของร่างกายเราได้

          ศาสตร์แพทย์แผนจีนเชื่อว่า ลำพังการกินอาหารเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เมื่อร่างกายโทรมลงสมุนไพรจึงมีหน้าที่เป็นส่วนเสริมสร้างสารอาหารให้กับร่างกายของเราและสามารถทำหน้าที่ดูแลสุขภาพของเราให้แข็งแรงยิ่งขึ้น 

          การศึกษาสมุนไพรของจีนเกิดขึ้นมานานแล้ว มีนิทานพื้นเมืองเรื่องหนึ่งกล่าวถึง นายเสินหลง ผู้ใช้ตัวเองเป็นหนูทดลองด้วยการลองกินสมุนไพรกว่าร้อยชนิด แถมบางชนิดก็เป็นพิษต่อร่างกายไม่น้อยเสียด้วย นิทานเล่าว่านายเสินหลงได้รับพิษจากสมุนไพรเหล่านั้นกว่า 70 ชนิด ต่อวันเลยทีเดียว แสดงให้เห็นความยากลำบาก ในการลองผิดลองถูกของการศึกษาสมุนไพรในยุคแรกๆ ที่ต้องต่อสู้กับความโหดร้ายจากธรรมชาติและโรคภัยของชาวจีนโบราณ

          แต่ผลที่ได้คือ ประสบการณ์และองค์ความรู้อันมากมายมหาศาลเกี่ยวกับการรักษาโรคด้วยยาที่ประทานมาจากผืนแผ่นดิน และ ธรรมชาติของเรานี่เอง

          เมื่อชาวจีนโบราณหลายๆ คนทำแบบ นายเสินหลง มากๆ เข้าได้ลองผิดลองถูกด้วยตนเองและสั่งสมประสบการณ์มากขึ้นก็เริ่มมีการบันทึกเป็นตำราและสกัดความรู้ที่ได้เป็นองค์ความรู้สืบทอดส่งต่อกันจากรุ่นสู่รุ่นเรื่อยมา

          เช่น คัมภีร์สมุนไพรเสินหลง ของราชวงศ์ฉินและฮั่น เป็นตำราเภสัชวิทยาเก่าแก่ที่สุดที่จีนมีอยู่ในปัจจุบัน หรือ คัมภีร์ซือจิง ของราชวงศ์ซีโจว (คัมภีร์นี้สันนิษฐานว่าเขียนขึ้นครั้งแรกราว 700 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
          ต่อมาในสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประเทศจีนมีความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก รัฐบาลในขณะนั้นได้เรียบเรียงตำราสมุนไพรเล่นแรกของโลกขึ้นมาในชื่อว่า ถัง เปิ่น ฉ่าว ซึ่งมีการบันทึกตัวยาพร้อมภาพประกอบเอาไว้มากถึง 850 ชนิด ก่อนที่จะมีการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่องยาวนานจนถึงปัจจุบัน สืบทอดส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นเป็นเวลาหลักร้อยปี


           ความเข้าใจผิดที่สาม ยาสมุนไพรทุกที่เหมือนกันหมด

           
ในเชิงประวัติศาสตร์ ตำรายาสมุนไพรจีนนั้น เมื่อเปลี่ยนราชวงศ์หนึ่งก็จะมีการคัดลอกเนื้อหาใหม่หนึ่งครั้ง และมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสูตรเรื่อยมา นอกจาก ตำราหลวง ของราชสำนักจีนแล้วยังมีตำรายาพื้นบ้านอีกมากมายที่คิดค้นและเขียนขึ้นโดยคน
ในแต่ละตระกูล แตกต่างกันออกไปตามชนิดของสมุนไพรที่เลือกใช้ และสภาพพื้นที่ที่รักษาอีกด้วย

           แต่ละตำรามีความคล้ายคลึงกันมีตัวยาหลักที่สำคัญบางอย่าง ที่ใช้เหมือนกันในทุกตำรา เช่น การรักษาอาการเจ็บป่วยด้วยสาเหตุเดียวกัน สูตรของตำราหนึ่งอาจใช้ตัวยาทั้งหมด 7 ชนิด หากแพทย์แผนจีนผู้ทำการรักษา เขียนสั่งยาจ่ายยาและเลือกใช้ยาแค่ 4 ชนิดจากทั้งหมด 7 ชนิด ก็ถือว่าสามารถใช้รักษาได้ตรงกัน โดยแพทย์แผนจีนจำเป็นต้อท่องจำสูตรตำราหลวงให้ได้เป็นพื้นฐานก่อที่จะนำไปใช้ประกอบสูตรยาเป็น ยาตำรับ เพื่อใช้รักษาโรคต่อไป

           เช่น หากพบว่าผู้ป่วยมีอาการของโรคภายในสมอง ถ้าเลือกใช้สมุนไพรเพียงประเภทเดียวจะทำให้เลือดลมเข้าไปถึงสมองช้า ทำให้รักษาโรคได้ช้าและไม่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง จึงจำเป็นต้องเลือกใช้ยาสมุนไพรร่วมกันหลายชนิด โดยต้องเลือกใช้สมุนไพรชนิดอื่นร่วมด้วยถึงสามชนิด เพื่อช่วยกระตุ้นประสาท ให้ตัวยาหลักสามารถเข้าไปรักษาที่สมองได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ
           การใช้ ยาตำรับ ยาสมุนไพรผสมกันหลายชนิดเพื่อช่วยให้สามารถออกฤทธิ์ส่งเสริมซึ่งกันและกันเช่นนี้ ถือว่าเป็น ศาสตร์ และ ศิลป์ ของแพทย์แผนจีน เมื่อกาลเวลาที่คนเชื่อถือ ก็จะได้รับการยกย่องว่ามีความสามารถในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้กับผู้ป่วยอย่างได้ผล เป็นที่รู้จัก ได้รับความไว้วางใจ เป็นที่ยอมรับในวงกว้างเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น และแตกต่างจากร้านขายยาสมุนไพรทั้วไป

           ร้านขายยาสมุนไพรจีนแต่ละร้านต่างก็มีวิธีผสมยาที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความรู้ที่ได้รับถ่ายทอดเช่น ร้านปราชญานั้นสั่งสอนสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นของแต่ละตระกูล การสร้างตำรับยานี้นับเป็นความรู้ที่สามารถสั่งสมและสืบทอดรุ่นสู่รุ่นของตระกูลแพทย์แผนจีนได้ หากเปิดร้านขายยาสมุนไพรจีนเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีแพทย์แผนจีนประจำอยู่ และไม่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องการสร้างตำรับยา กิจการของร้านก็อาจไม่สามารถดำเนินไปได้ตลอดรอดฝั่งนัก

          จึงเป็นเหตุให้ร้านสมุนไพรจีนในย่านเยาวราชหลายร้านต้องปิดกิจการไป เหลือร้านสมุนไพรจีนที่ทำกิจการต่อเนื่องอยู่ไม่กี่ร้านในปัจจุบัน  เพราะเมื่อถึงคราวที่ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ การใช้ชีวิตที่เร่งรีบมากยิ่งขึ้นจึงต้องอาศัยความรู้พลิกแพลงในการปรับปรุงและพัฒนาตำรับยาเพื่อให้สามารถรักษาโรคได้มากยิ่งขึ้น ก้าวให้ทันโลก และก้าวให้ทัน โรค ไปพร้อมๆกัน

         นอกจากความเข้าใจตำรับยาอย่างถ่องแท้แล้ว แพทย์จีนยังต้องเข้าใจวิธีการใช้สมุนไพรแต่ละชนิด เพื่อให้ตัวยาอันทรงคุณค่าเหล่านั้นสามารถออกฤทธิ์ได้เต็มที่ เต็มประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างเช่น ยาระงับเลือด ต้องนำสมุนไพรมาเผาเป็นถ่านเสียก่อน จึงสามารถนำไปใช้ระงับเลือดได้ หากไม่นำมาเผาก็จะทำให้ตัวยาออกฤทธิ์ได้น้อยกว่า

        หรือสมุนไพรบางชนิดจำเป็นต้องคั่วกับวัตถุดิบอื่นๆเช่น เหล้า น้ำเกลือ น้ำขิง ทราย ข้าว น้ำผึ้ง และยังผ่านการอบ นึ่ง เผา ต้ม เคี่ยวยา เจ็ดวัน ก่อนนำไปใช้ เพราะหากไม่ผ่านกรรมวิธีเหล่านี้ จะทำให้ตัวยามีประสิทธิภาพน้อยลงจนทำให้การรักษาไม่เป็นอย่างที่ควรจะเป็นกรรมวิธีเหล่านี้บ่งบอกถึงความยากลำบากกว่าจะได้ตัวยาออกมา
           
            ความเข้าใจผิดที่สี่ ขอแค่มีสมุนไพร ยังไงก็รักษาหายขาด

           
สมุนไพรก็เหมือนพืชพรรณหรือข้าวของอื่นๆ บนโลก อย่าได้เข้าใจผิดว่ามันเป็นของวิเศษที่จะดลบันดาลได้ทุกอย่างตามใจปรารถนา เพราะการใช้สมุนไพรนั้นมีกระบวนการที่ลึกซึ้งตั้งแต่การคัดสรร จัดเก็บ การปรุง ไปจนถึงวิธีการใช้

          ดังนั้น จำเป็นต้องรู้บางเรื่องเกี่ยวกับสมุนไพรเอาไว้ ไม่เช่นนั้นพอนำไปใช้ผิดๆ แล้วไม่หาย อาจจะมาโทษแพทย์แผนจีนได้
          ตัวอย่างที่เด่นชัดก็คือ การเก็บรักษาสมุนไพรจีนก็เป็นขั้นตอนสำคัญอีกขั้นตอนหนึ่งที่ไม่ควรละเลย หากเก็บรักษาไม่ได้ก็จะเสื่อมสภาพ จนทำให้ไม่สามารถออกฤทธิ์ได้ดีนัก

          จากสมัยอดีตเป็นต้นมา การเก็บสมุนไพรจีนต้องเก็บจากป่าหรือเดินทางขึ้นภูเขาอันห่างไกลอย่างยากลำบากเพื่อเฟ้นหาวัตถุดิบล้ำค่าที่จะสามารถใช้รักษาชีวิตของผู้คนได้มากมาย ปัจจุบันการเก็บสมุนไพรได้เปลี่ยนรูปแบบไป เพื่อให้ทันยุคทันสมัย ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น ด้วยการพัฒนามาเป็นการเพาะปลูกและพัฒนากรรมวิธีในการผลิตให้สามารถสร้างผลผลิตได้มากขึ้นในเวลาที่น้อยลง รวมไปถึง การริเริ่มของเทคโนโลยีและวิทยาการในการจัดเก็บสมุนไพรอย่างถูกต้องเหมาะสม เพื่อให้ได้ตัวยาที่มีคุณค่าครบถ้วน คงประสิทธิภาพ สะอาด เพื่อให้บาสามารถออกฤทธิ์ได้ดีที่สุดเมื่อนำไปใช้งาน เช่นผลิตภัณฑ์ปราชญา ปราชญาสมุนไพร ไอ-โคพอต (I-KOPOT)ปราชญาสมุนไพร เฮอบีน่า (HERBENA),  

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า